Thai ZBrush

Visiting Weta Digital-Day III

Posted on: เมษายน 9, 2008

วันอังคารที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๑ วันที่สองของการสัมนา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เริ่มต้นวันที่ ๒ ประมาณ ๑๐ โมงเช้า โดยคุณ Matt Aitken(VFX Supervisor แห่ง Weta Digital) เป็นผู้ดำเนินรายการ และได้คุณ Richard Frances Moore (Animation Supervisor) มาแนะแนวทางเรื่องการสร้างอนิเมชั่น สำหรับภาพยนตร์ โดยเทคนิคที่ว่านี้คือ Shot Sculpting ซึ่งคุณ Richard Frances Moore ยกตัวอย่าง ซีน Gollum ถือแหวนท้ายเรื่อง LOTR:Return of the King ก่อนที่จะตกลงไปในลาวาาของ Mount Doom ตรงช่วงนิ้วนั้นได้ใช้เทคนิค Shot Sculpting เพื่อให้ได้อนิเมชั่นที่เนียนสมจริง

หลักการคือผู้ทำงานจะเซฟโมเดลออกทุกๆ ครึ่ง เฟรม และทำการปั้นเพื่อให้ได้ตามต้องการ ดังนั้นหากซีนนั้นมีอยู่ทั้งหมด 15 วินาที จะต้องทำการปั้นแบบ Shot Sculpting ทั้งสิ้น 720 โมเดล (หนึ่งวินาทีมี ๒๔ เฟรม และทำการปั้นทุกๆครึ่งเฟรม นั่นหมายถึง ๔๘ ต่อเฟรม)เทคนิคนี้คุณ Matt Aitken เสริมว่าได้ใช้ในฉากที่ ช้างยักษ์ Mûmak ชนกันในตอนรบพุ่ง ณ ทุ่ง Pelennor Fields ซึ่งการทำ Shot Sculpting นี้เป็นงานหนักและน่าเบื่อบ้าง เพราะต้องอาศัยความถึก แต่อย่างไรก็ดี งานนี้จะต้องให้เป้นหน้าที่ของนักปั้นโมเดลที่เก่งที่สุดของทีมเท่านั้น เพราะจะต้องทำการปั้นแบบทีละนิดๆ จนได้ภาพเคลื่อนไหวที่พลิ้วสมจริง

จากนั้นคุณ Richard Frances Moore ก็ได้แนะแนวต่อเรื่องของการจำลอง dynamic กล้ามเนื้อของสัตว์ โดยเฉพาะพวกเหล่าไดโนเสาร์ทั้งหลาย รวมถึงช้างด้วย ว่าควรทำส่วนไหนเป็น simulated synamic หรือส่วนไหนที่ทำการอนิเมตมือ (Key frame animation) นับว่าได้ตอบตรงจุดและมีประโยชน์กับทีมงานมากๆ

ต่อด้วยการสร้าง ขน ผม (Hair/Fur) โดยคุณ Richard ได้ยกเอาระบบขนของคิงคองมาเป็นตัวอย่าง เรื่องขนของคิงคองนั้นแต่เดิมทีมงาน Weta Digital ได้ลองใช้ Shave and a Haircut สำหรับโปรแกรม มายา แต่ท้ายที่สุดก็ต้องให้ทีมงานภายในเขียนโปรแกรมเพื่อรองรับระบบขนเอง

รูปคุณ Richard กับทีมงานหลังการสัมนา

อีกรูปพร้อมคุณ Matt Aitken ด้วย

หลัง session เกี่ยวกับ animation,ก็ได้เวลาพักทานอาหารกลางวันพร้อมกับ คุณ Matt Aitken โดยระหว่างรับประทานอาหารก็พยายามไม่ให้เสียเวลา จึงถือโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับโปรแกรม Massive โปรแกรมเอกโปรแกรมหนึ่งที่ช่วยในการจำลองฝูงคนมากมาย โดยฝูงคนเหล่านี้จะถูกกำหนดด้วย “สมอง” เอาไว้สั่งการ และสามารถทำหรือตัดสินใจได้ด้วย โดยคุณบอล (Visual Effect Artist ของเรา)ได้สอบถามคำถามในเรื่องเกี่ยวกับการทำงานและเทคนิคการใช้โปรแกรมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ทั้งนี้ยังได้หารือในส่วนของระบบการเรนเดอร์ภาพโดยที่ทาง Weta Digital ใช้อยู่นั้นคือระบบเรนเดอร์ของ Pixar:Renderman – https://renderman.pixar.com/ ที่สามารถจัดการเรนเดอร์ภาพได้สวยสมจริงในระยะเวลาที่ไม่นานเกินไป (หากใช้เครื่องเรนเดอร์จำนวนมากๆ 10000 cores หรือที่เขาเรียกกันว่า Render Farm นั่นเอง)

โปรแกรม Renderman นี้ถือเป็นมาตรฐานระบบการเรนเดอร์สำหรับหนังฮอลลี่วู๊ดฟอร์มยักษ์ทั้งหลาย โดยหนังที่ใช้ระบบเรนเดอร์นี้มี

2007
Harry Potter and the Order of the Phoenix
Meet the Robinsons
Pirates of the Caribbean: At Worlds End
Ratatouille
Spider-Man 3
Surf’s Up
Transformers

2006
Ant Bully
Cars
Charlotte’s Web
Da-Vinci Code
The Children of Men
Eight Below
Eragon
Flight 93
Happy Feet
Mission Impossible III
Pirates of the Caribbean: Dead Man’s Chest
The Return of Zoom
Shaggy Dog
Skin Walkers
Superman Returns
V for Vendetta
World Trade Center
X-Men III

หลังรับประทานอาหารเที่ยง เราก็ได้คุณ Matt Welford มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการ Composite ซึ่งคุณใหญ่ (Composite Supervisor ของเรา) ได้สอบถามคำถามในการ เตรียมตั้งแต่การ Shooting การสร้าง Mockup Model / Blue Model / การกั้นกรีน สำหรับการถ่ายมา composite

ระหว่างนี้เราเลยได้ดูเบื้องหลังการทำงานของภาพยนตร์เรื่อง Water Horse ในส่วนของการ composite ซึ่งตัวละครหลักเจ้า Crusoe นั้นถูกสร้างขึ้นมาเป็น Mockup ที่เหมือนจริงมากๆ โดยคุณ Matt Aitken เน้นย้ำให้ทำการสร้างโดยคำนึงถึงคุณสมบัติพื้นผิวให้ใกล้เคียงกับที่ควรเป็นด้วย และการสร้าง Blue Model เพื่อการถ่ายในช๊อตที่ตัวละครมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับตัว Crusoe

ทีมงานกับคุณ Matt Welford

Crusoe โมเดลเจ้าสัตว์ประหลาดแห่ง ลอคเนส

(ตอบคำถาม ทั้ง ZBrush และ MudBox มีความสามารถในการปั้นโมเดลรายละเเอียดสูงเหมือนกัน แต่(ณ ปัจจุบัน) ZBrush มีความซับซ้อนและฟีเจอร์มากกว่าเช่นนอกจากการปั้นแล้วยังสามารถลงสีใส่เทคเจอรืให้โมเดลได้ด้วย ในทางกลับกัน MudBox สามารถเรียนรู้ได้ไวกว่าเพราะ UI หรือ User Interface นั้นเป้นที่คุ้นตามากกว่า ZBrush อีกทั้ง MudBox ยังเพิ่งถูกฮวบเป็นของ AutoDesk คาดว่าในอนาคตอาจเห็นการใช้งาน MudBox / Maya / 3D Max อย่างใกล้ชิดกันมากขึ้น ครับผม

แต่ ZBrush เองก็มาแรงเช่นกันเพราะใช้ทำในหนังหลากหลายเรื่อง (หนังสัตว์ประหลาดเกือบยทุกเรื่องในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมาก็ว่าได้) ผมมีนัดกับทางบริษัท ZBrush เดือนหน้า ไว้ผมจะมาอัพเดทให้ทราบเพิ่มเติมนะครับ)

จากนั้นคุณ Aimee ผู้จัดการทั่วไปของ Park Road Post Production และคุณ Amy ก็พาทัวร์สถานที่อย่างเป็นทางการ โดยไปตามโซนต่างๆไม่ว่าจะเป็น Theatre ที่คุณ Peter Jackson เอาไว้ใช้ในการดูงานหลังการกำกับ และพาชมห้องแล๊บ ในส่วนที่เรียกว่า DI (Digital Intermediate) ของฝั่ง Post Production (เช่นการ Grade สี การปรับแต่งต่างๆ)

ก่อนเข้าห้องแล๊บก็ต้องแปลงร่างใส่เสื้อคลุมกันเชื้อโรค แหะๆ

ภายในห้องแล๊บ ห้องนี้เป็นที่แรกของโลกที่ได้รับการ Certified จาก Kodak โดยมีความแม่นยำในการทำงานสูงมาก

ต่อด้วยห้องที่สร้างเสียงประกอบ เพราะในบางครั้ง (บ่อยครั้ง) การถ่ายอาจไม่ได้เสียงที่คมชัด ห้องนี้จึงเป้นห้องผลิตเสียงเสริม โดยภายในห้อง (ดูเหมือนนอกห้องมากกว่า) จะมีหลากหลายวัสดุ ไม่ว่าจะเห็น หิน โคลน ดิน(เอาไว้ย่ำแล้วอัดเสียง) ก๊อกน้ำ ล้อ และอีกมากมายสารพัดวัสดุ

สาวคนนี้เป็นผู้ผลิตเสียงเหล่านี้ครับ

ด้านนอกของห้องจะเป็นโซนเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการบันทึกเสียง เราเลยขอสแน๊บภาพพร้อมทีมงานของเขา

ตามด้วยห้องเสียงที่คุณ Aimee กล่าวว่าเป็นห้องที่ทำให้ Park Road Post ได้รับออสก้าถึง 2 รางวัลในสาขาเสียง (และเป็นสิ่งที่ทางเขาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง)

อีกภาพกับห้องนี้

นอกจากนี้เรายังได้มีโอกาสได้ดูงานเกรดสี ของที่นี่โดยคุณ Aimee ได้เปิดตัว Trailer เรื่อง Red Cliff หรือ สามก๊กตอนศึกเซ๊กเพ๊ก ให้ดู ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยจอห์นวู นับเป็นหนังอีกเรื่องที่น่าจับตามองครับ

นับเป็นวันที่สนุกและได้สาระมากๆ หลังจากที่เรียนรู้กันทั้งวัน เมื่อเวลา ๕ โมงเย็น พนักงานขับรถจึงมารับ และแนะนำให้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Te Papa ใจกลางเมือง Wellington ตนไปนี้ ลมแรงมากๆเลยครับ

ทางเข้าข้างในพิพิธภัณฑ์ Te Papa

ตรงข้างหน้ามีโครงกระดูกม้าตั้งตระหง่าานในตู้กระจก

คุณโบ้กำลังศึกษากวางเพื่อเอาไปปั้นโมเดล (อิ อิ)

ข้างหลังทีมงานคือห้องโครงกระดูก X-Ray Room ที่มีแต่กระดูกสัตว์นานาชนิด

รวมถึงปลาวาฬด้วย

ภายนอกพิพิธภัณฑ์ Te Papa (ติดทะเล)

คุณใหญ่ยืนรับลมหน้าพิพิธภัณฑ์ Te Papa

จากนั้นจึงพากันไปกินอาหารที่ห้างใกล้เคียงพิพิธภัณฑ์ Te Papa ก่อนเดินทางกลับที่พักเพื่อพักผ่อน (เวลา ขณะนั้นประมาณ ๒ ทุ่ม)

1 Response to "Visiting Weta Digital-Day III"

เฮือก !!! แทบช็อค ผมพึ่งทราบนะครับเนี่ยว่าต้องทำเฟรมบายเฟรม
…คนทำนี่ฝีมือสุดยอดมากๆๆเลยครับ

ขอบคุณครับสำหรับประสบการณ์ดีๆ ^^ (เหมือนได้เดินทางไปด้วย)
แล้วจะแว๊บเข้ามาอ่านอีกครับ

ใส่ความเห็น

Posts made this month

เมษายน 2008
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930  

Select Post by Month

Blog Stats

  • 426,078 visitors